ปวดต้นคอ หมอนรองกระดูกเสื่อม

ปวดต้นคอ-หมอนรองกระดูกเสื่อม
โดย ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปัจจุบันประชาชนมักจะมีอาการปวดบริเวณต้นคอเพิ่มมากขึ้นซึ่งมีสาเหตุจากการพัฒนาเทคโนโลยี การใช้คอมพิวเตอร์ การใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น ผู้ใช้งานก้มคอใช้อุปกรณ์เหล่านี้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จึงทำให้เกิดปัญหาปวดเมื่อยบริเวณต้นคอและกล้ามเนื้อบริเวณบ่า และสาเหตุอีกอย่างคือประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุทำให้ประชากรมีอายุเพิ่มมากขึ้น เกิดปัญหาของโรคข้อเสื่อมและหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมเพิ่มขึ้น จึงทำให้พบปัญหาอาการปวดคอเพิ่มมากขึ้น  ท่านผู้อ่านคงเคยมีประสบการณ์อาการปวดบริเวณต้นคอบ้าง บางครั้งอาจจะมีอาการปวดต้นคอเวลาตื่นนอนตอนเช้าไม่สามารถหมุนศีรษะได้ มีอาการปวดตั้งแต่บริเวณต้นคอ ท้ายทอยลงบริเวณบ่า  สะบัก ปวดร้าวลงบริเวณหัวไหล่และต้นแขน อาจจะมีอาการชาร้าวลงมือร่วมด้วย  บางครั้งไปนอนสระผมที่ร้านทำผม พอลุกขึ้นมาก็จะรู้สึกมีอาการปวดต้นคอ

สาเหตุของอาการปวดคอ

สามารถแบ่งได้ตามช่วงอายุและอุบัติการณ์ของการเกิดอาการปวดต้นคอซึ่งสามารถเกิดได้ตั้งแต่อายุ 20 ปี เป็นต้นไป สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการใช้งานไม่ถูกท่า การนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานานอย่างต่อเนื่อง การก้มใช้งานมือถือ ทำให้ต้องก้มคอตลอดเวลาซึ่งส่งผลทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็งตัวทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามบริเวณต้นคอและสะบักทั้ง 2 ข้าง ในบางครั้งที่มีอาการปวดต้นคออย่างรุนแรงอาจจะเกิดเนื่องจากหมอนรองกระดูกต้นคอเคลื่อนออกมากดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการบวมและอักเสบของเส้นประสาท นอกจากนี้ตัวหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนออกมานั้นจะมีสารที่ทำให้เกิดการอักเสบโดยตรงต่อเส้นประสารทจึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดคอร้าวลงแขนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งในบางรายอาจจะมีอาการชา และอ่อนแรงของแขนในข้างที่เส้นประสาทไปกดทับด้วย เมื่ออายุมากขึ้น ส่วนใหญ่ประมาณตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป อาการปวดคอส่วนใหญ่มักเกิดจากกระบวนการเสื่อมของหมอนรองกระดูกและการอักเสบของข้อต่อระหว่างกระดูกสันหลัง บางครั้งหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอมีการเสื่อมและเคลื่อนออกมากดทับเส้นประสาท หรือมีกระดูกงอกจากการเสื่อมของกระดูกข้อต่อสันหลังไปกดทับเส้นประสาท

อาการปวดบริเวณคอ

ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดเมื่อยๆบริเวณกระดูกและกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ปวดร้าวลงบริเวณบ่า และสะบัก บริเวณไหล่ และข้อศอก ร่วมกับอาการชาลงไปที่มือ และนิ้ว อาจจะมีความรู้สึกปวดแปล๊บๆเหมือนไฟฟ้าช็อต วิ่งลงแขน หันศีรษะลำบาก ไม่สามารถหันได้เหมือนปกติ เวลาจะเหลียวมองด้านข้างต้องหันไปทั้งตัว บางครั้งมีอาการปวดมากจนทำให้ไม่สามารถนอนพักได้ นอนไม่หลับ อาการปวดจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อแหงนศีรษะ หรือก้มนานๆ เนื่องจากน้ำหนักของศีรษะไปกระทำตรงบริเวณข้อต่อระหว่างกระดูกเพิ่มมากก็จะทำให้เกิดการอักเสบและช่องทางเดินประสาทแคบลง เมื่อเส้นประสาทถูกกดทับจะทำให้มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เลี้ยงโดยรากประสาทนั้นๆ เช่น ไม่มีแรงกำมือ หรือกระดกข้อมือ มีอาการปวดจากท้ายทอยขึ้นไปยังศีรษะ และอาจมีอาการปวดร้าวออกเบ้าตา ซึ่งถ้าผู้ป่วยมีอาการปวดมาเป็นระยะเวลานานก็ทำให้ผู้ป่วยเกิดความเครียดและกังวล กลัวว่าจะเป็นโรคร้าย เป็นมะเร็ง เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต

ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้นในช่วงเดินทางนั่งบนรถ หรือนั่งเครื่องบินแล้วเผลอหลับ เวลาตื่นขึ้นมาจะมีอาการปวดต้นคอ สาเหตุอันเนื่องมาจากในขณะที่นอนหลับในท่านั่งนั้นน้ำหนักของศีรษะจะทำให้คอก้มลงมาทางด้านหน้า ซึ่งเป็นท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดอาการเกร็ง ตึงตัวของกล้ามเนื้อรอบๆบริเวณลำคอ ทำให้เกิดการอักเสบของกระดูกข้อต่อ จึงทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อรอบๆที่บริเวณลำคอ บ่า

การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยโรคเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากการซักประวัติอาการปวดของผู้ป่วย ร่วมกับการตรวจร่างกายของแพทย์ ซึ่งถ้ามีอาการปวดมากแพทย์อาจส่งตรวจภาพถ่ายเอกซเรย์บริเวณกระดูกต้นคอ ซึ่งมักจะพบว่ามีการเสื่อมของหมอนรองกระดูกต้นคอ สังเกตได้จากความสูงของหมอนรองกระดูกสันหลังมีขนาดลดลง เพราะปกติหมอนรองกระดูกมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นน้ำ และเมื่อเกิดกระบวนการเสื่อมจะทำให้ปริมาณน้ำในหมอนรองกระดูกลดปริมาณลง และในบางครั้งอาจเกิดการเคลื่อนของหมอนรองกระดูกชั้นในออกมากดทับเส้นประสาท นอกจากนี้อาจจะพบลักษณะของกระดูกงอกออกไปกดทับเส้นประสาทร่วมด้วย ในบางกรณีถ้าผู้ป่วยมีอาการเรื้อรัง อาการปวดไม่บรรเทาลงหลังจากการให้การรักษาที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง แพทย์ผู้ทำการรักษาอาจจะพิจารณาส่งผู้ป่วยไปตรวจด้วยภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ซึ่งจะช่วยแสดงรอยโรคได้ชัดเจนมากกว่าภาพถ่ายรังสีธรรมดา

การป้องกันและการรักษา

  1. การปรับเปลี่ยนท่าทางและการใช้ชีวิตประจำวัน พยายามหลีกเลี่ยงการนั่งอ่านหนังสือนานๆ การก้มคอใช้โทรศัพท์มือถือ การแหงนศีรษะ เมื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานจำเป็นต้องปรับตำแหน่งของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา การเปลี่ยนอิริยาบถในขณะทำงานกับจอคอมพิวเตอร์นานๆ แม้กระทั่งการนอนดูโทรทัศน์นานๆก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวดคอได้ ดังนั้นควรมีการปรับท่าทางให้เหมาะสมเช่นควรนั่งดูโทรทัศน์มากกว่าการนอน ไม่ก้มคอใช้งานโทรศัพท์มือถืออย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
    เมื่ออายุมากขึ้น ควรจะหลีกเลี่ยงกีฬาบางประเภทเพราะอาจจะทำให้มีอาการปวดต้นคอเพิ่มมากขึ้นได้เช่น  แบดมินตัน เพราะมักจะต้องแหงนศีรษะเวลาตีลูก ซึ่งจะทำให้ช่องทางเดินประสาทแคบลงเมื่อแหงนศีรษะ ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทเพิ่มมากขึ้น และเกิดการอักเสบของกระดูกสันหลังบริเวณข้อต่อ ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดต้นคอมากควรหลีกเลี่ยงการนอนสระผมที่ร้านทำผม เพราะการนอนสระผมจะมีการแหงนศีรษะมากทำให้ช่องทางเดินประสาทแคบลง และทำให้กระดูกข้อต่อเกิดการอักเสบ จึงทำให้เกิดอาการปวดเพิ่มมากขึ้นได้  และไม่ควรแหงนศีรษะเป็นระยะเวลานานเพราะจะทำให้กระดูกข้อต่อสันหลังบริเวณคอเกิดการอักเสบ ทำให้เกิดอาการปวดและเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ
  2. การทำกายภาพบำบัด ด้วยการดึงคอ เป็นการใช้แรงดึงกระทำต่อร่างกายและกระดูกสันหลังส่วนคอ ช่วยทำให้ช่องระหว่างกระดูกสันหลังส่วนบริเวณคอกว้างขึ้น ลดการกดทับเส้นประสาท ช่วยในการยืดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังมีการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงช่วยในการบำบัดรักษา คลื่นเหนือเสียงที่มีความถี่ 20,000 รอบต่อนาที ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดความร้อนลึกเฉพาะที่ ส่งผลในการช่วยลดอักเสบ อาการปวด เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ ช่วยทำให้อาการของผู้ป่วยทุเลาลง
  3. การรับประทานยาลดปวด ยาลดการอักเสบ ซึ่งยาจะออกฤทธิ์ในการลดปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งยาแต่ละชนิดก็ออกฤทธิ์แตกต่างกัน ก็ช่วยทำให้อาการปวด อาการชาทุเลาลงได้ ข้อควรระวังในการใช้ยาลดการอักเสบคือต้องรับประทานยาหลังอาหารทันทีเพราะอาจจะมีผลทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร และไม่ควรรับประทานต่อเนื่องนานเกิน 1 เดือน
  4. การฉีดยาชาระงับปวดเข้าไประหว่างชั้นกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่มีอาการเกร็งตัว เพื่อลดการนำสื่อประสาท จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อตรงบริเวณคอ และบริเวณบ่าและกล้ามเนื้อรอบๆสะบัก คลายตัวลง ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ จะช่วยลดอาการปวดได้ดีมากโดยเฉพาะในช่วงระยะ 2 สัปดาห์หลังการฉีด

หลังจากฉีดยา อาการปวดจะทุเลาลงเป็นอันดับแรก ต่อมาอาการชาตามแขนและมือจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะกังวลกลัวว่าจะเกิดโรคอัมพฤกษ์อัมพาต จากอาการชา เนื่องจากโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมกดทับเส้นประสาท ซึ่งถ้าแพทย์ซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียดและให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม ก็จะช่วยทำให้ผู้ป่วยคลายความกังวลลงไปได้  โดยทั่วไปอาการปวด ปวดชาร้าวลงแขนจะค่อยๆดีขึ้น ใช้ระยะเวลาประมาณ  3-4 เดือน ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 90 สามารถให้การรักษาด้วยวิธีการข้างต้นได้ผลเป็นอย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด สำหรับข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดกระดูกสันหลังบริเวณคอจะทำในกรณีที่ มีการกดทับของเส้นประสาทและไขสันหลัง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเกร็ง ตัวแข็งเดินเกร็ง  ก้าวเดินลำบาก มีอาการอ่อนแรงของแขน และขา  อุจจาระและปัสสาวะลำบากไม่สามารถควบคุมได้จึงจำเป็นต้องผ่าตัด  ถ้าผู้ป่วยมีแค่เพียงอาการปวดต้นคอ ปวดร้าวลงแขนและมือ หรือมีอาการชาร่วมด้วย เราสามารถให้การรักษาด้วยวิธีการข้างต้นได้ผลเป็นอย่างดี โดยไม่มีความจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

การเกิดกระดูกคอเสื่อมและการเกิดกระดูกงอกที่บริเวณข้อต่อระหว่างกระดูกนั้นเกิดจากกระบวนการเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลัง จึงทำให้เกิดกระดูกงอกและบางครั้งทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท ผู้ป่วยบางท่านมีความกังวลใจว่าการรับประทานแคลเซียมวันละ 1 เม็ดนั้นหรือการรับประทานแคลเซียมมาเป็นระยะเวลานานมีผลทำให้เกิดภาวะกระดูกงอกหรือไม่ การรับประทานแคลเซียมวันละ 1 เม็ดในปริมาณประมาณ 600 มิลลิกรัมนั้น ไม่มีผลทำให้เกิดกระดูกงอกอันใดเลยเพราะสาเหตุของการเกิดกระดูกงอกตามส่วนต่างๆของข้อและกระดูกนั้นเกิดจากกระบวนการเสื่อมของร่างกาย ไม่เกี่ยวกับการรับประทานแคลเซียม

Message us

Sanpakoi Clinic ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า