PRP คืออะไร ใช้รักษาอะไรได้บ้าง แบบไหนใช้แล้วไม่ได้ผล ?

 PRP คืออะไร? ใช้รักษาอะไรได้บ้าง? แบบไหนใช้แล้วไม่ได้ผล?

โดย ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

 

ถามกันบ่อย PRP คืออะไร? ใช้รักษาอะไรได้บ้าง? แบบไหนใช้แล้วไม่ได้ผล?

PRP หรือ Platelet-Rich Plasma คือ เทคโนโลยีทางการแพทย์ ด้วยการนำเอาเลือดของคนไข้เองมารักษา การรักษาแบบ PRP นี้ มีใช้อยู่แล้วในทางทันตกรรมและศัลยกรรมกระดูก ซึ่งเลือดจะประกอบด้วยเม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด และส่วนของเหลว ที่เรียกกันว่า “พลาสมา” ส่วนสำคัญของกระบวนการรักษา โดย PRP นั้น คือเกล็ดเลือด เพราะในเกล็ดเลือดมีสารที่เรียกว่า Growth Factor ซึ่งเป็นสาร กระตุ้นการเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

PRP นำมาใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง

PRP

  • รักษาเรื่องการเสื่อมสภาพในระยะเริ่มต้น โดยจะมีส่วนในการลดอาการปวด ลดการอักเสบเช่น กระดูกอ่อนผิวข้อในโรคข้อเสื่อม

  • สภาวะของเส้นเอ็นเสื่อมสภาพ (tendinosis) เช่น เส้นเอ็นที่ข้อไหล่ (rotator cuff disease) เส้นเอ็นที่ข้อศอก (tennis elbow)

  • ภาวะของพังผืดฝ่าเท้าอักเสบ

  • ภาวะกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บ

ใช้ในไหล่ เข่า ข้อศอก

คนไข้กลุ่มไหนบ้างที่ไม่เหมาะจะใช้ PRP

1. ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมที่เป็นระยะที่ 3-4 เมื่อตรวจเอกซเรย์แล้วพบว่าผิวข้อกระดูกมาชนกัน

ข้อเสื่อมที่ไม่เหมาะแก่การทำ PRP เนื่องจากผิวข้อถูกทำลายไปมาก

2. ผู้ป่วยที่มีเส้นเอ็นฉีกขาดแยกออกจากกัน

เส้นเอ็นไหล่ฉีกขาด

      กระบวนการทำงานเมื่อฉีด PRP เข้าไปในบริเวณที่ต้องการรักษา Growth Factor ในเกล็ดเลือด PRP เป็นสารสำคัญที่ไปกระตุ้นให้เซลล์เกิดการเติบโตเร็วขึ้น เพื่อรักษาโรคและช่วยให้มีการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ ได้แก่ โรคข้อเข่าเสื่อม โรคปวดไหล่จากเส้นเอ็นฉีกขาด โรคปวดข้อศอก เป็นต้น

กระบวนการของ PRP (Platelet-Rich Plasma)

กระบวนการทำ PRP

  1. ดูดเลือดจากร่างกายของผู้ที่รับการรักษา
  2. นำเลือดมาปั่นแยกเกล็กเลือด และสารช่วยสร้างเนื้อเยื่อ (Growth Factors)
  3. นำมากระตุ้นเพื่อให้เกิดการทำงานของเกล็ดเลือด
  4. นำเกล็ดเลือดเข้มข้นไปฉีดในส่วนที่มีปัญหา

เทคนิคการฉีดด้วยความแม่นยำถูกตำแหน่งรอยโรคที่แน่นอน

เราจะใช้เครื่อง UltraSound มาช่วยเป็นเครื่องชี้นำ บ่งบอกถึงบริเวณตำแหน่งที่จะฉีด PRP ทำให้การฉีด PRP มีความแม่นยำมากขึ้น (ตามภาพตัวอย่างด้านล่าง)

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดสูง

  • หลังจากฉีด PRP ผู้ป่วยอาจมีอาการชา บริเวณที่ฉีดหรือบริเวณใกล้เคียงได้ ประมาณ 1-2 ชั่วโมงแรก และอาจมีอาการปวดหลัง จากฉีด PRP ประมาณ 1-2 วัน หลังจากนั้นอาการปวดจะค่อยๆ ดีขึ้น

  • ถ้ามีอาการปวดควรประคบเย็นบริเวณที่ฉีด PRP 2-3 วัน หรือ ทานยาแก้ปวด ตามแพทย์สั่ง ถ้ายังมีอาการปวดมาก หลังจาก 4-5 วัน ควรปรึกษาแพทย์

  • กรุณางดใช้ยากลุ่มต้านการอักเสบ เช่น Ibuprofen หรือ Aspirin เป็นเวลา 3 วันหลังฉีด PRP
  • รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
  • ข้อควรพิจารณาหลังฉีด PRP

  • หลังการฉีดแล้วจำเป็นต้องสังเกตดูอาการของผู้ป่วยเป็นเวลา 15 นาที ก่อนให้กลับบ้านได้ หากมีอาการแดงช้ำบริเวณรอยเข็มฉีด ให้ประคบเย็นไว้ประมาณ 6-8 ชั่วโมง โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีอาการดังต่อไปนี้

  • อาการเลือดออก รอยช้ำใหม่ หรือบวมผิดปกติในบริเวณที่ฉีด

  • อาการติดเชื้อ เช่น มีรอยแดง มีน้ำเหลืองออก หรือมีไข้ขึ้น ข้อห้ามฉีด ร่างกายมีการติดเชื้อ เกร็ดเลือดต่ำ เป็นมะเร็ง คนท้อง หรือให้นมลูก

  • แจ้งแพทย์ทุกครั้ง ถ้าท่านแพ้ยาชา

  • ผู้ซึ่งมีการทานยาในกลุ่มแก้อักเสบ(NSAID’s) เช่น Brufen,Voltaren,Arcoxia ,Celebrex เป็นต้น ควรแนะนำให้หยุดยากลุ่มนี้ก่อน 7 วัน

สอบถามปัญหาสุขภาพกระดูกและข้อได้ที่

Line OA: https://lin.ee/swOi91Q หรือ Line ID search @doctorkeng
Website: www.taninnit.com
YouTube: https://www.youtube.com/results?search_query=taninnit+leerapun
Facebook: หมอเก่งไขปัญหาปวดกระดูกและข้อ
Blockdit: https://www.blockdit.com/doctorkeng

Message us

Sanpakoi Clinic ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า